แนะนำสมาร์ทโฟนจอใหญ่ แบตอึดความจุเกิน 4,000 mAh รุ่นใหม่ที่น่าสนใจ ในราคาไม่เกิน 5,000 บาท รุ่นไหนจอใหญ่สุด รุ่นใดแบตอึดกว่ากัน เราสรุปมาให้ท่านแล้ว! Leave a comment

สำหรับท่านที่หมั่นติดตามข่าวสารสมาร์ทโฟนอยู่เป็นประจำ จะเห็นได้ว่าแต่ละแบรนด์ต่างก็ส่งสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ออกมาแข่งขันกันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งล้วนมาพร้อมกับฟีเจอร์ที่ครบทุกการใช้งาน โดยเฉพาะกลุ่มมือถือระดับกลางที่มีราคาหลักพันในปัจจุบันมีการแข่งขันกันค่อนข้างสูงมาก เนื่องจากผู้ใช้บางส่วนมองว่าสมาร์ทโฟนระดับกลางในราคาหลักพันก็เพียงพอต่อการใช้งานในเบื้องต้นแล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้สมาร์ทโฟนดีๆ ราคาหลักหมื่นแต่อย่างใด และปัจจัยที่ผู้ใช้มักยึดเป็นอันดับแรกๆ ก็คือ สมาร์ทโฟนที่มีหน้าจอขนาดใหญ่ มองเห็นได้ถนัด

หากหน้าจอมีขนาดใหญ่แล้ว แบตเตอรี่ก็จำเป็นจะต้องมีความจุเพิ่มขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน เพราะหน้าจอถือเป็นส่วนประกอบหลักที่ใช้พลังงานแบตเตอรี่มากที่สุดในบรรดาส่วนประกอบทั้งหมดบนสมาร์ทโฟน ซึ่งในวันนี้ทีมงาน Thaimobilecenter จึงได้คัดเลือกสมาร์ทโฟนจอใหญ่แบตอึดมาให้ทุกท่านได้รับชมกัน โดยกำหนดขนาดหน้าจอขั้นต่ำไว้ที่ 6.0 นิ้ว ในอัตรส่วนใหม่แบบ FullView Display หรือ DewDrop Display และแบตเตอรี่ความจุสูงกว่า 4000 mAh ในราคาไม่เกิน 5,000 บาท (ราคามือถือ อัปเดตล่าสุด) เพื่อให้ผู้ใช้ที่กำลังสนใจสมาร์ทโฟนระดับกลางได้ใช้เป็นข้อมูลเบื้องต้นในการเลือกซื้อ และสมาร์ทโฟนที่เราคัดมาจะมีรุ่นใดโดนใจท่านผู้อ่านบ้างนั้น ติดตามชมไปพร้อมกันได้เลยค่ะ

Samsung Galaxy A20 ราคา 5,890 บาท

Samsung Galaxy A20 น้องใหม่ ที่มาพร้อมกับการดีไซน์จอไร้ขอบโฉมใหม่ในชื่อ Infinity-V Display กับขนาด 6.4 นิ้ว พร้อมรองรับกล้องคู่ (Dual Camera) ที่ด้านหลัง รวมถึงรองรับชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูง สำหรับคนที่มีงบประมาณบวกลบ 1,000 บาท โดยมีฟีเจอร์ที่น่าสนใจดังต่อไปนี้

– ตัวเครื่องมีขนาด 158.5×74.7×7.8 มิลลิเมตร และมีน้ำหนัก 169 กรัม
– หน้าจอแสดงผล Super AMOLED Infinity-V ขนาด 6.4 นิ้ว ความละเอียดระดับ HD+ (720×1560 พิกเซล)
– ชิปเซ็ตประมวลผล Octa-Core Exynos 7884 ที่มีความเร็ว 1.6 GHz
– หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Mali-G71 MP2
– หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 3GB
– หน่วยความจำภายใน (ROM) ขนาด 32GB พร้อมรองรับการ์ดหน่วยความจำภายนอกแบบ microSD สูงสุดที่ 512GB
– กล้องดิจิทัลด้านหลังแบบคู่ (Dual Camera) ความละเอียด 13 + 5 ล้านพิกเซล พร้อมเลนส์มุมกว้างพิเศษ Ultra-Wide Angle 123 องศา โดยมี F/1.9 + F/2.2 และรองรับฟังก์ชัน Live Focus 
– กล้องดิจิทัลด้านหน้าความละเอียด 8 ล้านพิกเซล โดยมี F/2.0 
– แบตเตอรี่ความจุ 4000 mAh พร้อมเทคโนโลยีชาร์จเร็ว Fast Charging
– ระบบปฏิบัติการ Android 9.0 Pie ครอบทับด้วย One UI
– เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่ด้านหลังตัวเครื่อง (Rear Fingerprint)
– ระบบสแกนใบหน้า (Face Unlock)
– รองรับการเชื่อมต่อแบบ USB Type-C
– มีตัวเลือก 3 สี ได้แก่ สีดำ (Black), สีน้ำเงิน (Blue) และสีแดง (Red)

สรุปคุณสมบัติโดยละเอียดของ Samsung Galaxy A20

Huawei Y7 Pro 2019 ราคา 4,990 บาท

Huawei Y7 Pro 2019 มีจุดเด่นเป็นหน้าจอแสดงผลขนาดใหญ่ บนดีไซน์ไร้ขอบแบบ Dewdrop Screen พร้อมแบตเตอรี่ 4000 mAh บนตัวเครื่องไล่เฉดสีแบบ Gradient เล่นกับแสงในมุมตกกระทบต่างๆ และติดตั้งระบบกล้องคู่ (AI Dual Camera) ไว้ที่ด้านหลังอีกด้วย สำหรับฟีเจอร์ในเบื้องต้นมีดังนี้

– ตัวเครื่องมีขนาด 158.92×76.91×8.1 มิลลิเมตร และมีน้ำหนัก 168 กรัม
– หน้าจอแสดงผล IPS Dewdrop Screen ขนาด 6.26 นิ้ว ในอัตราส่วน 19:9 ความละเอียดระดับ HD+ (720×1520 พิกเซล)
– ชิปเซ็ตประมวลผล Octa-Core Qualcomm Snapdragon 450
– หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Adreno 506
– หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 3GB
– หน่วยความจำภายใน (ROM) ขนาด 32GB พร้อมรองรับการ์ดหน่วยความจำภายนอกแบบ microSD สูงสุดที่ขนาด 512GB
– กล้องดิจิทัลด้านหลังแบบคู่ (AI Dual Camera) ความละเอียด 13 + 2 ล้านพิกเซล พร้อมไฟแฟลช LED โดยมีขนาดรูรับแสงที่ F/1.8 รองรับ AI Scene Recognition กว่า 500 ซีน จากทั้งหมด 22 ประเภท
– กล้องดิจิทัลด้านหน้าความละเอียด 16 ล้านพิกเซล 
– แบตเตอรี่ความจุ 4000 mAh
– ระบบปฏิบัติการ Android 8.1 Oreo ซึ่งถูกครอบทับด้วย EMUI 8.2
– ระบบปลดล็อกด้วยใบหน้า (Face Unlock 2.0)
– รองรับการใช้งานบนเครือข่าย 4G LTE
– รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 802.11 b/g/n และ Bluetooth 4.2
– รองรับการเชื่อมต่อแบบ USB 2.0

สรุปคุณสมบัติโดยละเอียดของ Huawei Y7 Pro 2019

Vivo Y93 ราคา 4,999 บาท

Vivo Y93 มากับดีไซน์หน้าจอไร้ขอบแบบหยดน้ำ (Halo FullView Display) ขนาด 6.22 นิ้ว บนตัวเครื่องเงางามแบบกระจกไล่เฉดสี โค้งมนแบบ 3D พร้อมระบบกล้องหลังแบบคู่ (Dual Camera) และแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 4030 mAh โดยมีฟีเจอร์ที่น่าสนใจดังนี้

– ตัวเครื่องมีขนาด 155.11×75.09×8.28 มิลลิเมตร และมีน้ำหนัก 163.5 กรัม
– หน้าจอแสดงผลขนาด 6.22 นิ้ว ในอัตราส่วน 19:9 ความละเอียดระดับ HD+ (720×1520 พิกเซล)
– ชิปเซ็ตประมวลผล Octa-Core Qualcomm Snapdragon 439
– หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Adreno 505
– หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 3GB
– หน่วยความจำภายใน (ROM) ขนาด 32GB พร้อมรองรับการ์ดหน่วยความจำภายนอกแบบ microSD สูงสุดที่ขนาด 256GB
– กล้องดิจิทัลด้านหลังแบบคู่ (Dual Camera) ความละเอียด 13 + 2 ล้านพิกเซล มีขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ขนาด F/2.2+F/2.4 รองรับเทคโนโลยี AI และโหมดการถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอ
– กล้องดิจิทัลด้านหน้าความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อมเทคโนโลยี AI Face Beauty โดยมีขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ F/2.0
– แบตเตอรี่ความจุ 4030 mAh 
– ระบบปฏิบัติการ Android 8.1 Oreo ครอบทับด้วย Funtouch OS 4.5
– เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ (Fingerprint Scanner)
– ระบบปลดล็อกด้วยใบหน้า (Face Wake)
– รองรับการใช้งานพร้อมกัน 2 ซิมการ์ด (Dual-SIM) 
– รองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth 4.2
– รองรับการเชื่อมต่อแบบ microUSB 

realme 3 (3GB+32GB) ราคา 4,590 บาท

realme 3 มาพร้อมการดีไซน์จอไร้ขอบทรงหยดน้ำแบบ Dewdrop Display บนตัวเครื่องเงามงาม และไล่เฉดสีแบบ 3D Gradient Unibody ที่สามารถสะท้อนเล่นกับแสงในมุมต่างๆ รวมถึงระบบกล้องคู่ (Dual Camera) ที่ชูโรงด้านการถ่ายภาพในที่แสงน้อยด้วยฟีเจอร์ Nightscape และเทคโนโลยี ChromaBoost สำหรับการถ่ายภาพแบบ HDR รวมถึงชิปเซ็ต MediaTek Helio P60 บนระบบปฏิบัติการ ColorOS 6.0 เวอร์ชันล่าสุด และพกพาแบตเตอรี่มาถึง 4230 mAh สำหรับคุณสมบัติตัวเครื่องในเบื้องต้นมีดังนี้

– ตัวเครื่องมีขนาด 156.1×75.6×8.3 มิลลิเมตร และมีน้ำหนัก 175 กรัม
– หน้าจอแสดงผล  Dewdrop Display ขนาด 6.2 นิ้ว ในอัตราส่วน 19:9 ความละเอียดระดับ HD+ (720×1520 พิกเซล : สัดส่วนการแสดงผลของหน้าจออยู่ที่ 88.30%) พร้อมครอบทับด้วยกระจกขอบนูนแบบ 2.5D Corning Gorilla Glass 3
– ชิปเซ็ตประมวล Octa-Core MediaTek Helio P60
– หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 3GB
– หน่วยความจำภายใน (ROM) ขนาด 32GB พร้อมรองรับหน่วยความจำภายนอกแบบ microSD สูงสุดที่ขนาด 256GB
– กล้องดิจิทัลด้านหลังแบบคู่ (Dual Camera) ความละเอียด 13 + 2 ล้านพิกเซล พร้อมไฟแฟลช LED โดยมีขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ F/1.8, รองรับระบบการโฟกัสภาพแบบ PDAF, การถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอด้วย Bokeh Effect, ฟีเจอร์ Nightscape สำหรับถ่ายภาพในที่แสงน้อย/เวลากลางคืนโดยไม่ต้องใช้ขาตั้งกล้อง, ฟีเจอร์ ChromaBoost สำหรับถ่ายภาพแบบ HDR และฟังก์ชัน AI Scene Recognition
– กล้องดิจิทัลด้านหน้า AI ความละเอียด 13 ล้านพิกเซล โดยมีขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ F/2.0 รองรับเทคโนโลยี AI Beautification
– แบตเตอรี่ความจุ 4230 mAh 
– ระบบปฏิบัติการ Android 9.0 Pie ซึ่งถูกครอบทับด้วย ColorOS 6.0
– เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ (Fingerprint Scanner)
– ระบบสแกนใบหน้า (AI Face Unlock)
– คุณสมบัติป้องกันน้ำกระเซ็น
– รองรับการใช้งานพร้อมกัน 2 ซิมการ์ด (Dual-SIM)
– รองรับถาดใส่ซิมการ์ดแบบ Triple-Slot
– รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 802.11 b/g/n และ Bluetooth 4.2
– รองรับการเชื่อมต่อแบบ microUSB
– รุ่น 3GB+32GB ราคา 4,590 บาท
– รุ่น 4GB+64GB ราคา 5,990 บาท

สรุปคุณสมบัติโดยละเอียดของ realme 3 (3GB+32GB)

Redmi Note 7 (3GB+32GB) ราคา 4,999 บาท

Redmi Note 7 มาพร้อมการดีไซน์จอไร้ขอบที่มีรอยบากทรงหยดน้ำแบบ Dot Drop Full Screen บนตัวเครื่องกระจกเงางามไล่เฉดสี และพกพาฟีเจอร์มาแบบจัดเต็ม ไม่ว่าจะเป็น ชิปเซ็ต Snapdragon 660 AIE, แบตเตอรี่ความจุ 4000 mAh และกล้องตัวหลักคมชัด 48 ล้านพิกเซล รวมไปถึงการเชื่อมต่อแบบ USB Type-C ที่หาได้ยากในสมาร์ทโฟนช่วงราคาใกล้เคียงกัน โดยมีฟีเจอร์ที่น่าสนใจดังนี้

– ตัวเครื่องมีขนาด 159.21×75.21×8.1 มิลลิมเมตร และมีน้ำหนัก 186 กรัม
– หน้าจอแสดงผล Dot Drop Full Screen ขนาด 6.3 นิ้ว ในอัตราส่วน 19.5:9 ความละเอียดระดับ Full HD+ (1080×2340 พิกเซล) ครอบทับด้วยกระจก Gorilla Glass 5
– ชิปเซ็ตประมวลผล Octa-Core Qualcomm Snapdragon 660 AIE
– หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Adreno 512
– หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 3GB 
– หน่วยความจำภายใน (ROM) ขนาด 32GB พร้อมรองรับการ์ดหน่วยความจำภายนอกแบบ microSD สูงสุดที่ขนาด 256GB
– กล้องดิจิทัลด้านหลังแบบคู่ (AI Dual Camera) ความละเอียด 48 + 5 ล้านพิกเซล พร้อมพิกเซลขนาด 1.6 ไมครอนแบบ 4-in-1 มีขนาดรูรับแสงที่ F/1.8 รองรับระบบการโฟกัสภาพแบบ PDAF, โหมดหน้าชัดหลังเบลอ (Portrait Mode) และฟีเจอร์ AI Scene Recognition ในการตรวจจับซีนได้กว่า 238 ซีน จาก 27 หมวดหมู่ 
– กล้องดิจิทัลด้านหน้าความละเอียด 13 ล้านพิกเซล พร้อม AI Smart Beauty, โหมดหน้าชัดหลังเบลอ (AI Portrait Mode) และฟีเจอร์ AI Scene Recognition ในการตรวจจับซีนได้ถึง 12 หมวดหมู่ 
– แบตเตอรี่ความจุ 4000 mAh พร้อมเทคโนโลยีชาร์จไว Quick Charge 4.0
– ระบบปฏิบัติการ Android 9.0 Pie ซึ่งถูกครอบทับด้วย MIUI 10
– เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ (Fingerprint Scanner)
– ระบบสแกนใบหน้า (Face Recognition)
– รองรับการใช้งานพร้อมกัน 2 ซิมการ์ด (Dual-SIM)
– รองรับการใช้งานบนเครือข่าย 4G LTE บนเทคโนโลยี Full Netcom 5.0
– รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac (Dual-Band) และ Bluetooth 5.0
– รองรับการเชื่อมต่อแบบ USB Type-C
– รุ่น 3GB+32GB ราคา 4,999 บาท
– รุ่น 4GB+64GB ราคา 6,599 บาท (วางจำหน่ายแบบ Exclusive ผ่านทาง AIS เท่านั้น)
– รุ่น 4GB+128GB ราคา 6,799 บาท

สรุปคุณสมบัติโดยละเอียดของ Redmi Note 7 (3GB+32GB)

Redmi 7 ราคา 4,299 บาท

Redmi 7 ที่มาพร้อมกับดีไซน์จอไร้ขอบ มีรอยบากทรงหยดน้ำแบบ Waterdrop Full Screen บนตัวเครื่องเงางามไล่เฉดแบบ 3D Gradient ที่รองรับคุณสมบัติการป้องกันน้ำกระเซ็น ด้วยเทคโนโลยี p2i water-repellent coating สำหรับคุณสมบัติตัวเครื่องในเบื้องต้นมีดังนี้

– ตัวเครื่องมีขนาด 158.73×75.58×8.47 มิลลิมเมตร และมีน้ำหนัก 180 กรัม
– หน้าจอแสดงผล Waterdrop Full Screen ขนาด 6.26 นิ้ว ในอัตราส่วน 19:9 ความละเอียดระดับ HD+ (720×1520 พิกเซล : 269 ppi) ครอบทับด้วยกระจก Gorilla Glass 5
– ชิปเซ็ตประมวลผล Octa-Core Qualcomm Snapdragon 632
– หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Adreno 506
– หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 2GB
– หน่วยความจำภายใน (ROM) ขนาด 16GB พร้อมรองรับการ์ดหน่วยความจำภายนอกแบบ microSD สูงสุดที่ขนาด 512GB
– กล้องดิจิทัลด้านหลังแบบคู่ (AI Dual Camera) ความละเอียด 12 + 2 ล้านพิกเซล พร้อมพิกเซลขนาด 1.25 ไมครอน มีขนาดรูรับแสงที่ F/2.2 รองรับระบบการโฟกัสภาพแบบ PDAF, โหมดหน้าชัดหลังเบลอ (Portrait Mode), ฟีเจอร์ AI Scene Recognition ในการตรวจจับซีนได้กว่า 27 หมวดหมู่ 
– กล้องดิจิทัลด้านหน้าความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อม AI Smart Beauty และโหมดหน้าชัดหลังเบลอ (AI Portrait Mode) 
– แบตเตอรี่ความจุ 4000 mAh พร้อมระบบการชาร์จแบบ 5V2A
– ระบบปฏิบัติการ Android 9.0 Pie ซึ่งถูกครอบทับด้วย MIUI 9
– เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ (Fingerprint Scanner)
– ระบบสแกนใบหน้า (Face Unlock)
– รองรับการใช้งานพร้อมกัน 2 ซิมการ์ด (Dual-SIM)
– รองรับการใช้งานบนเครือข่าย 4G LTE บนเทคโนโลยี Full Netcom 5.0
– รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 802.11 b/g/n และ Bluetooth 4.2
– รองรับการเชื่อมต่อแบบ USB 2.0

สรุปคุณสมบัติโดยละเอียดของ Redmi 7

Honor 8C ราคา 4,990 บาท

Honor 8C มาพร้อมชิปเซ็ต Snapdragon 632 เป็นรุ่นแรกของวงการ และกล้องหลังแบบคู่ (Dual Camera) บนการดีไซน์จอไร้ขอบที่มีรอยบากด้านบน ผสานตัวเครื่อง เงางามคล้ายกระจก รวมถึงแบตเตอรี่ที่ให้มาถึง 4000 mAh อีกด้วย ซึ่งมีคุณสมบัติตัวเครื่องดังนี้

– ตัวเครื่องมีขนาด 158.72×75.94×7.98 มิลลิเมตร และมีน้ำหนัก 167.2 กรัม
– หน้าจอแสดงผล TFT LCD (IPS) ขนาด 6.26 นิ้ว ในอัตราส่วน 19:9 ความละเอียดระดับ HD+ (720×1520 พิกเซล)
– ชิปเซ็ตประมวลผล Octa-Core Qualcomm Snapdragon 632 ที่มีความเร็ว 1.8 GHz
– หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Adreno 506
– หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 3GB
– หน่วยความจำภายใน (ROM) ขนาด 32GB พร้อมรองรับหน่วยความจำภายนอกแบบ microSD สูงสุดที่ขนาด 256GB
– กล้องดิจิทัลด้านหลังแบบคู่ (Dual Camera) ความละเอียด 13+2 ล้านพิกเซล พร้อมไฟแฟลช LED โดยมีขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ F/2.4
– กล้องดิจิทัลด้านหน้าความละเอียด 8 ล้านพิกเซล โดยมีขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ F/2.0
– แบตเตอรี่ความจุ 4000 mAh
– ระบบปฏิบัติการ Android 8.0 Oreo
– เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ (Fingerprint Scanner)
– ระบบสแกนใบหน้า (Face Unlock)
– รองรับการใช้งานบนเครือข่าย 4G LTE
– รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 802.11 b/g/n และ Bluetooth 4.2
– รองรับการเชื่อมต่อแบบ USB 2.0

เป็นอย่างไรกันบ้างคะ กับสมาร์ทโฟนจอใหญ่แบตอึดรุ่นใหม่ทั้งที่เปิดตัวแล้ว และกำลังจะเปิดตัว ในราคาไม่เกิน 5,000 บาท จะเห็นได้ว่าสมาร์ทโฟนแต่ละรุ่น นอกจากจะมีจุดเด่นในเรื่องของหน้าจอแสดงผล และความจุแบตเตอรี่แล้ว คุณสมบัติภายในด้านอื่นๆ ต่างก็มีให้ใช้งานอย่างครบครัน และมีประสิทธิภาพเช่นเดียวกัน

แต่อย่างไรก็ดี ขนาดของหน้าจอ และความจุแบตเตอรี่ก็เป็นเพียงหนึ่งในปัจจัยสำหรับเลือกซื้อสมาร์ทโฟนสักเครื่องหนึ่ง ซึ่งยังมีคุณสมบัติอื่นๆ ที่ผู้ใช้ให้ความสำคัญไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็น ความคมชัดของหน้าจอ, ชิปเซ็ตประมวลผล, หน่วยความจำแรม (RAM), หน่วยความจำภายใน (ROM), กล้องถ่ายภาพ และเวอร์ชันของระบบปฏิบัติการ รวมถึงฟีเจอร์ที่ช่วยอำนวยความสะดวกในด้านอื่นๆ อีกมากมาย

ทั้งนี้จึงขึ้นอยู่กับตัวผู้ใช้เองว่ามีความชื่นชอบสมาร์ทโฟนรุ่นใดมากที่สุด ซึ่งถ้าหากท่านผู้อ่านพบรุ่นที่ถูกใจ ก็ขอให้ไปทดลองใช้งานเบื้องต้นที่ศูนย์บริการ หรือร้านค้าตัวแทนจำหน่ายก่อนว่าสมาร์ทโฟนรุ่นนั้นตอบโจทย์การใช้งานของเราจริงๆ หรือไม่ เพราะถ้าหากเราต้องเสียเงินจำนวนหลายพันบาท แต่ได้สมาร์ทโฟนที่ไม่ถูกใจมาใช้ก็คงไม่ใช่เรื่องน่ายินดี สำหรับวันนี้ทีมงาน IT Phone System ต้องขอลาไปก่อน แล้วพบกันใหม่ในบทความหน้า สวัสดีค่ะ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *